ThaiPublica > เกาะกระแส > สนช.ผ่านร่างพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ สำนักรัฐฯเตรียมออกระเบียบดูแลการคัดเลือกเอกชนใช้ประโยชน์ “ทรัพย์สิน – ที่ดินรัฐ”

สนช.ผ่านร่างพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ สำนักรัฐฯเตรียมออกระเบียบดูแลการคัดเลือกเอกชนใช้ประโยชน์ “ทรัพย์สิน – ที่ดินรัฐ”

11 กุมภาพันธ์ 2019


นายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.)

นายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2562 ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)ครั้งที่ 7/2562 เป็นพิเศษ ได้ลงมติผ่านร่างพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. (ร่าง พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ)เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถือเป็นมิติใหม่สำหรับการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน หรือ “PPP” ของประเทศไทย ซึ่งจะมีผลให้การจัดทำโครงการโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะอันเป็นภารกิจของรัฐ เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้อง กับหลักการสากลเรื่อง PPP ที่สะท้อนหลักความเป็นหุ้นส่วนระหว่างรัฐและเอกชน และมีมาตรการในการส่งเสริม การร่วมลงทุนภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง โดยคำนึงถึงความสำเร็จของโครงการร่วมลงทุน ทำให้ภาครัฐสามารถยกระดับในการให้บริการประชาชนได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ สคร. อยู่ระหว่างเตรียมการชี้แจงทำความเข้าใจกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและการจัดทำกฎหมายลำดับรอง เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ มีแนวทางที่ชัดเจนในการดำเนินการตามร่าง พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ต่อไป

  • เตรียมเสนอ สนช. แก้ กม. ปลดล็อกประมูลดิวตี้ฟรีต้นปี’62 ไม่ต้องปฏิบัติตาม “พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ” ประชุมนัดพิเศษ 25 ธ.ค. นี้
  • “ประภาศ”ตอบคำถามอดีต รมว.คลัง แจงประมูลดิวตี้ฟรี ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. PPP ใหม่หรือไม่? ขึ้นอยู่กับดุลพินิจ
  • นางปานทิพย์ ศรีพิมล ที่ปรึกษาด้านพัฒนารัฐวิสาหกิจ สคร. กล่าวว่า พระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 (พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ ปี 2556) ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันมีขอบเขตของกฎหมายที่กว้างขวาง ส่งผลทำให้มีโครงการที่ไม่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ ต้องเข้ามาสู่กระบวนการตามกฎหมายร่วมลงทุนฯ และยังไม่สะท้อนถึงความเป็นหุ้นส่วนระหว่างรัฐและเอกชนที่ชัดเจน ประกอบกับยังขาดมาตรการในการแก้ไขปัญหาระหว่างหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง และมาตรการส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ทำให้การดำเนินโครงการมีความล่าช้าและเอกชนยังไม่ให้ความสนใจที่จะเข้าร่วมลงทุนในโครงการของรัฐเท่าที่ควร สคร. จึงได้เสนอร่าง พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ขึ้น ซึ่งจะมีผลเป็นการยกเลิก พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ ปี 2556 โดยมีสาระสำคัญดังนี้

      (1) กำหนดเป้าประสงค์ของการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนให้มีการจัดทำและดำเนินโครงการร่วมลงทุนที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นหุ้นส่วนระหว่างรัฐและเอกชน (Partnership) โดยมุ่งเน้นการใช้ความเชี่ยวชาญ และนวัตกรรมของเอกชนในโครงการร่วมลงทุนและมีการถ่ายทอดความรู้ ความเชี่ยวชาญไปยังหน่วยงานของภาครัฐ

      (2) กำหนดนโยบายของรัฐที่ชัดเจน และ แน่นอนในการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ โดยให้มีการจัดทำแผนโครงการร่วมลงทุน และกำหนดให้โครงการที่ไม่ได้อยู่ หรือ เกี่ยวข้องกับกิจการโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ เช่น โครงการพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์ ไม่ต้องเข้ามาสู่กระบวนการตามกฎหมายร่วมลงทุนฯ ทั้งนี้ การใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินของหน่วยงานของรัฐ และ ทรัพยากรธรรมชาติจะต้องมีกฎระเบียบรองรับที่เหมาะสมในการคัดเลือกและการกำกับดูแลต่อไป

      (3) กำหนดให้โครงการที่เข้าข่ายต้องปฏิบัติตามร่างพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. …. จะต้องพิจารณาจากนิยามตามร่างมาตรา 4 คำว่า “โครงการ” กล่าวคือ เป็นโครงการลงทุนของรัฐในกิจการที่หน่วยงานของรัฐหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งหรือหลายหน่วยงานรวมกันมีหน้าที่และอำนาจต้องทำตามกฎหมาย หรือ กฎ หรือที่มีหน้าที่และอำนาจต้องทำตามวัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง และนิยามคำว่า “ร่วมลงทุน” กล่าวคือ ร่วมลงทุนกับเอกชนไม่ว่าโดยวิธีใด หรือ มอบให้เอกชนลงทุนแต่ฝ่ายเดียว โดยวิธีการอนุญาต หรือให้สัมปทาน หรือ ให้สิทธิไม่ว่าในลักษณะใด โดยจะต้องเป็นโครงการร่วมลงทุนในกิจการเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะตามที่กำหนดไว้ในร่างมาตรา 7

      (4) ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน โดยเพิ่มเติมผู้แทนจากหน่วยงานที่ดูแลเรื่องการให้สิทธิและประโยชน์ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนร่วมเป็นกรรมการ รวมทั้งประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และประธานสมาคมธนาคารไทยเพื่อให้การกำหนดนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนมีมุมมองจากภาคเอกชนบนพื้นฐานของความเป็นหุ้นส่วนระหว่างรัฐและเอกชน และกำหนดให้มีผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับโครงการร่วมลงทุนเป็นองค์ประกอบในคณะกรรมการคัดเลือก

      (5) กำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนการดำเนินการโครงการร่วมลงทุนที่กระชับ โปร่งใส และตรวจสอบได้มากยิ่งขึ้น รวมถึงกำหนดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชนในขั้นตอนต่างๆ

      (6) กำหนดให้ในกรณีที่เกิดปัญหา หรือ อุปสรรค หรือ เกิดความล่าช้าในการจัดทำหรือดำเนินโครงการร่วมลงทุนให้หน่วยงานเจ้าของโครงการสามารถเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนและคณะรัฐมนตรี เพื่อกำหนดกรอบระยะเวลา หรือพิจารณาแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ ทำให้สามารถดำเนินโครงการร่วมลงทุนได้อย่างรวดเร็วและเกิดการแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

      (7) กำหนดให้มีมาตรการส่งเสริมการร่วมลงทุนให้แก่โครงการร่วมลงทุนอย่างเหมาะสมภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง เช่น สิทธิและประโยชน์ที่เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน สิทธิการเช่าที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ในโครงการร่วมลงทุนที่มีระยะเวลาการเช่าไม่เกิน 50 ปี

      (8) กำหนดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการโดยความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีสามารถใช้อำนาจ เพื่อประโยชน์สาธารณะในการเข้าดำเนินโครงการร่วมลงทุนหรือมอบให้ผู้อื่นดำเนินโครงการร่วมลงทุนเป็นการชั่วคราว แก้ไขสัญญาร่วมลงทุน หรือบอกเลิกสัญญาร่วมลงทุนได้ โดยในกรณีที่เหตุจากการใช้อำนาจนั้นไม่ได้มาจากความผิดของเอกชนคู่สัญญา ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจ่ายค่าชดเชยแก่เอกชนคู่สัญญาอย่างเป็นธรรม